ขี้เกียจ แต่ไม่ใช่ขี้เกียจแบบทั่วไป
คำว่า “ขี้เกียจ” มักถูกมองว่าเป็นข้อเสีย แต่คนบางประเภทกลับใช้มันเป็นอาวุธลับในการอยู่รอดอย่างชาญฉลาด คนที่ “ขี้เกียจแต่โคตรรอด” ไม่ได้หมายถึงคนที่นั่งเฉย ๆ ทั้งวัน แล้วรอดปาฏิหาริย์ แต่คือคนที่รู้จักใช้พลังให้น้อยที่สุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์มากที่สุด ต่างหาก
เลือกทำในสิ่งที่จำเป็น และมีผลลัพธ์
คนกลุ่มนี้จะไม่ทำทุกอย่าง แต่เลือกทำเฉพาะสิ่งที่สำคัญจริง ๆ พวกเขาเชื่อในหลัก “80/20” คือ 20% ของสิ่งที่ทำ สร้างผลลัพธ์ 80% เขาจึงไม่เสียเวลาทำในสิ่งที่แค่ดูยุ่ง แต่ไม่คุ้มเหนื่อย หากมีวิธีไหนที่ง่ายกว่า เร็วกว่า และยังได้ผลลัพธ์เหมือนเดิม พวกเขาจะเลือกวิธีนั้นทันที
วางแผนก่อนขยับ เพราะไม่อยากเหนื่อยซ้ำ
การวางแผนล่วงหน้า ทำให้ไม่ต้องแก้ปัญหาหลายรอบ และลดความผิดพลาดที่อาจตามมา คนขี้เกียจแบบรอดจึงไม่ชอบ “เริ่มแบบมั่ว ๆ” พวกเขายอมใช้เวลาวางแผนก่อน แล้วค่อยลงมือ เพื่อให้ลงแรงครั้งเดียวจบ ไม่ต้องมาเหนื่อยแก้ไขซ้ำ ๆ
ใช้เครื่องมือให้คุ้มค่า
ในยุคที่มีเทคโนโลยีช่วยมากมาย คนกลุ่มนี้จะไม่เสียเวลาทำสิ่งที่เครื่องมือสามารถทำแทนได้ เช่น ใช้ระบบอัตโนมัติในการตอบแชท ตั้งเตือนงาน จัดการไฟล์ หรือแม้แต่จ้างฟรีแลนซ์ช่วยงานบางอย่าง เพราะรู้ว่าค่าแรงที่จ่ายไป คุ้มกว่าการนั่งทำเองทั้งวัน
โฟกัสที่ผลลัพธ์ ไม่ใช่แค่กระบวนการ
คนขี้เกียจแบบรอดจะไม่ยึดติดว่าต้องทำตามขั้นตอนแบบเดิม ๆ ขอแค่ได้ผลลัพธ์ตามที่ตั้งใจ พวกเขาก็พร้อมจะพลิกแพลง ใช้วิธีลัดที่ปลอดภัย และไม่เปลืองแรงโดยไม่จำเป็น คนกลุ่มนี้จึงมักสร้าง “ระบบ” ที่ทำงานแทนตัวเอง แล้วใช้เวลาไปโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญกว่า
สรุป
การ “ขี้เกียจ” ไม่ใช่เรื่องผิด หากคุณใช้มันเป็นตัวผลักดันให้คิดหาวิธีทำงานที่ชาญฉลาดขึ้น คนที่ขี้เกียจแต่รอด มักเป็นคนที่รู้ว่า “อะไรควรทำ” และ “อะไรไม่ควรเสียเวลา” เพราะฉะนั้น ถ้าคุณรู้สึกว่าไม่อยากเหนื่อยแบบไร้ทิศทาง ลองปรับวิธีคิดให้เหมือนคนขี้เกียจแบบมีแผน แล้วคุณอาจพบว่า...รอดง่ายกว่าที่คิด